ซีรี่ย์เกาหลี เรื่องย่อหนัง หนัง Creed III หรือชื่อไทยว่า ครี้ด 3 ผลงานจาก Metro Goldwyn Mayer Pictures สู่ “Creed III” กับ ไมเคิล บี. จอร์แดน ผู้ผันตัวมารับหน้าที่ดูแลภาพยนตร์ รวมทั้งกลับมาสู้หน้าหน้าที่ อโดนิว ครีด ในภาคต่อลำดับที่สามของแฟรนไชส์ดัง ภาพยนตร์ร่วมแสดงโดย เทสซา ธอมป์สัน (แฟรนไชส์ “Creed”, “Passing”), โจนาธาน เมเจอร์ส (“Da 5 Bloods,” “Lovecraft Country”), วูด แฮรร์ริส (แฟรนไชส์ “Creed”, “Blade Runner 2049”), ฟลอเรียน มันทิอานู (“Creed II,” “Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings”) พร้อมผู้แสดงคนใหม่ ไม่ลา เคนท์, ฟิลิเซีย ราเชด (แฟรนไชส์ “Creed”, “Soul”) จอร์แดน ควบคุมภาพยนตร์จากบทภาพยนตร์เขียนโดย คีแนน คูสหายร์ (“Space Jam: A New Legacy”) และก็แซ็ค เบย์ลิน (“King Richard”) จากเรื่องราวโดย ไรอัน คูสหายร์ (“Black Panther: Wakanda Forever”) รวมทั้ง คีแนน คูเพื่อนร์ และก็แซ็ค เบย์ลิน อำนวยการสร้างโดย เออร์วิน วิงก์เลอร์, ชาร์ลส์ วิงก์เลอร์, วิลเลียม ชาร์ตอฟฟ์, เดวิด วิงก์เลอร์, ไรอัน คูเพื่อนร์, ไมเคิล บี. จอร์แดน, เอลิซาเบ็ธ ราโปโซ, โจนาธาน กลิกแมน แล้วก็สิลเวสเตอร์ สตอลโลน ควบคุมการผลิตโดยกลุ่มเอ็กซ์เซ็กคูครั้งฟ เซฟ โอฮาเนียน
, สินซี คูเพื่อนร์, นิโคลัส สเติร์น แล้วก็อดัม โรเซ็นเบิร์ก พร้อมทั้งกลุ่มเบื้องหน้าเบื้องหลังประสิทธิภาพ ผู้กำกับภาพ เครเมอร์ มอร์เก็นธู (“Creed II,” “Thor: The Dark World”), ดีไซน์เนอร์งานสร้าง จาห์ไม่น อัสซา (“mid90s,” “Angelyne”), นักตัดต่อ ไทเลอร์ เนลสัน (“The Batman,” “Rememory”), ดีไซน์เนอร์อาภรณ์ ลิซ วูล์ฟ (“Creed II,” “Pacific Rim: Uprising”) ประพัมธ์เพลงประกอบโดย โจเซฟ เชอร์ลีย์ (“Jackass Forever,” “The Book of Boba Fett”)
การกลับมาอีกทีของแฟรนไชส์ Creed ที่ย้อนไปภาคที่ 2 ก็เป็นระยะเวลากว่า 5 ปีมาแล้ว และไม่คิดเพราะมันจะมีภาคต่อออกมา จุดเริ่มตั้งแต่ 8 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวของ Adonis Creed (Michael B. Jordan) นักมวย no name underdog ลูกชายของนักต่อยมีชื่อเสียง Apollo Creed ที่อุตสาหะสร้างชื่อให้ทางการต่อยของตนเองของ ฝึกหัดและก็บ่มเพาะโดย Rocky Balboa (Sylvester Stallone) กระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลก รวมทั้งในคราวนี้มันเป็นการก้าวเข้ามาดูแลหนังทีแรกของตัว Michael B. Jordan ด้วย
Contents
- 1 ซีรี่ย์เกาหลี ในภาคนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของ Adonis Creed ที่จำเป็นต้องมารับมือกับอดีตกาลอันมืดมนที่มาในลักษณะของเพื่อนรัก Damian Anderson (Jonathan Majors) ทำให้ Creed จำเป็นต้องเจอหน้ากับอดีตกาลที่มากกว่าการลงสังเวียน
ซีรี่ย์เกาหลี ในภาคนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของ Adonis Creed ที่จำเป็นต้องมารับมือกับอดีตกาลอันมืดมนที่มาในลักษณะของเพื่อนรัก Damian Anderson (Jonathan Majors) ทำให้ Creed จำเป็นต้องเจอหน้ากับอดีตกาลที่มากกว่าการลงสังเวียน
อย่างที่บอกไปย่อหน้าแรกว่าไม่คิดว่ามันจะมีภาคต่อ และนึกไม่ออกว่าเรื่องราวมันจะออกทางไหนได้ เอาจริงเอาจังๆภาคสองจบงามละนะ พอเพียงมาในภาคนี้เรื่องราวมาเล่นกับสมัยก่อนในวัยเด็กของ Adonis ส่วนตัวก็มีความรู้สึกว่ามันออกจะแถละจับยัดไปเสียหน่อย ซึ่งมันไม่เคยมีการเอ่ยถึงกล่าวถึงหรืออะไร พอเพียงจู่ๆมันโผล่มาก็แปลกๆกำเนิดเป็นดราม่าต่างๆมากมายก่ายกอง เป็นเสมือนเรื่องมันอุตสาหะให้ Adonis กับ Damian ต่อยกันให้ได้ มันมองไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่
นี่เป็น Creed ภาคที่มีความยาวสั้นที่สุดในแฟรนไชส์อย่างยิ่งจริงๆ
กลับมีหัวข้อเยอะมากให้กล่าวถึง อีกทั้งเรื่องอดีตกาล, เรื่องแฟน, เรื่องลูก, เรื่องแม่ ซึ่งมันไม่อาจจะสะสางหมดทุกใจความสำคัญได้ แม้กระทั่งบางประเด็นจัดการก็มิได้ลงลึกเชิญให้อินตามในหัวข้อในเรื่อง อัพเดทหนังใหม่
เรื่องที่โชคร้ายที่สุดเป็นการไม่มีนักแสดงอย่าง Rocky Balboa มันทำให้ดราม่าเบาลงอย่างชัดเจน การไม่มี Mentor มารอชี้แนะรอแนะนำ เตือนสติ ราวกับอย่างภาคก่อนๆก็ทำให้เสน่ห์อะไรบางอย่างมันหายไป ในด้านของบทรู้เรื่องได้ว่าผู้แสดง Adonis เติบโตแล้ว ต้องการหลุดพ้นจากอดีตกาลผู้แสดงอย่าง Rocky แล้วสร้างอนาคตใหม่ แม้กระนั้นควรจะให้น้ำหนักแล้วก็เหตุผลการหายไปของผู้แสดง Rocky หน่อยก็ยังดี ถึงแม้ว่าเหตุผลการถอนตัวของ Stallone เป็นข้อคิดเห็นมีความขัดแย้งกับคนอื่นๆก็ตาม พอเพียงไม่มีผู้แสดงนี้ การตัดสินใจของ Adonis ในภาคนี้จะราวกับแปลงเป็นคนต้องการชำระแค้นต้องการเอาชนะ ตกลงใจไม่สมกับเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มามากไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ว่าสิ่งที่น่ากล่าวชมเชยที่สุดในหัวข้อนี้เป็นฉากบนเวทีนั่นแหละ รุนแรง จัดหนัก จัดเต็ม บางทีก็อาจจะมิได้มีฉาก Long Take ล้ำๆราวกับอย่างภาคแรก หรือดราม่าบนเวทีราวกับภาค 2 แต่ว่ามันถูกตอบแทนด้วยเสียง sfx แน่นๆ, ดนตรีประกอบสนุกๆ, การตัดสลับมุมคมๆ, มุมภาพ CU+ECU, การ slow-motion สุดล้ำมองเห็นเม็ดเหงื่อ น้ำลายกระเด็น, มีความแฟนตาซีด้วย เป็นดูแล้วเพลิดเพลินสนุกสนานมากมายจริงๆโดยยิ่งไปกว่านั้นซีนซัดกันของ Adonis กับ Damian สนุกมากมาย โชคร้ายที่แอบมีความรู้สึกว่าการปูมาถึงจุดไคลแม็กปะทะกันตอนสุดท้ายมันเร็วมากมาย และก็ฉากสู้กันก็จบหาทางลงง่ายไปเสียหน่อย
ซีรี่ย์เกาหลี การแสดงอันน่าชมเชยในหัวข้อนี้ขอชูให้กับ Jonathan Majors เลย
การปรากฏตัวแต่ละฉากแต่ละซีนมองมีของมากมายๆมองอันตราย บทจะร้ายก็ร้ายถึง บทจะน่าสงสารก็ทำเป็นดี เป็นพวกเราว่าแทบกลบการแสดงของ Michael B. Jordan อย่างยิ่งจริงๆ ยิ่งตอนลงนวมอิริยาบถเป็นเอกลักษณ์มากมาย ดูดุดันมากมายจริงๆเป็นไม่ใช่ว่า Michael B. Jordan แสดงไม่ดีนะ แม้กระนั้นในภาคนี้การแสดงของเขา บางทีก็อาจจะเพราะเหตุว่าด้วยบทก็มิได้มีอะไรที่ต่างกันหรือน่าชื่นชอบไปๆมาๆกกว่า 2 ภาคแรกสักเท่าไหร่
สรุปแล้ว Creed III ยังคงเป็นหนังชกมวยดราม่า ที่ในภาคนี้ฉากบนสังเวียนเดือด สนุกสนานรวมทั้งเพลิดเพลินมากมาย ถึงแม้ว่าจะยังคงมีดราม่าแต่ว่าก็มิได้ขยี้ได้มากสักเท่าไหร่ และไม่ค่อยมีเหตุผลมากแค่ไหน ใจความสำคัญก็จำนวนมากเกินความจำเป็น การไม่มีผู้แสดง Rocky ก็มีผลมากยิ่งกว่าที่คิด ในรูปภาพรวมบางทีอาจมิได้น่าประทับใจเท่าภาคแรก แม้กระนั้นก็ยังตอบปัญหาความเป็นหนังชกมวยดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม
Daniel Craig กับการมารับบทเสือร้าย 007 หรือ James Bond
แดเนียล เคร็ก (Daniel Craig) เป็นหนึ่งในผู้แสดงมีชื่อเสียงที่แวดวงฮอลลีวู้ด แจ้งกำเนิดกับหน้าที่ในเรื่อง The Power of One คริสต์ศักราช 1992 (พุทธศักราช 2535) ที่เป็นบัตรผ่านทางให้เขาไปสู่แวดวงนี้ แล้วก็จากนั้นก็ส่งผลงานของเขาตามมาอีกเยอะมาก
แล้วก็แน่ๆว่าถ้าเกิดเอ๋ยถึง Craig แล้ว หนึ่งหน้าที่ที่คนรำลึกถึงเป็นการก้าวมารับบท James Bond เริ่มจากทีแรกในปี คริสต์ศักราช 2006 (พุทธศักราช 2549) และก็ภายหลังแฟนคลับได้มองเห็นการแสดงของเขา ก็มีเสียงคืนกลับอย่างมากว่า Craig ไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้เลย ขาดอีกทั้งเสน่ห์รวมทั้งความเป็น 007 แบบสุดๆเปรียบเทียบกับรุ่นเดอะอย่าง ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) กับ โรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) ที่จำต้องสารภาพจริงๆว่าคาแรคเตอร์มันผิดแผก
แม้กระนั้นแล้วเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง วิถีทางของผู้แสดงก็บางครั้งก็อาจจะจะต้องแปรไป และก็ Craig ก็คืนกลับกระแสพวกนั้นด้วยการรับรองตัวเองในหน้าที่นี้อีก 4 ครั้ง จนกระทั่งแสดงไว้หนสุดท้ายในปี คริสต์ศักราช 2021 (พุทธศักราช 2564) รวมทั้งมันก็ได้เปลี่ยนแปลงความคิดผู้ที่เคยว่าเขาเอาไว้ว่าเขาไม่เหมาะสม แน่ๆว่าบางครั้งอาจจะไม่ทั้งผอง แม้กระนั้นมันก็ได้สร้างความซาบซึ้งการแสดงของเขาในหน้าที่ของ James Bond ให้คนอีกหลายๆคนไว้ไม่น้อยเลย
รีวิวหนัง “About My Father ตัวบิดาจะห่วงใยเพื่อ” บางคราวก็ควรจะห่วงใย(ผู้ชม)บ้าง
จะว่าไปภาพยนตร์ตลกแนวครอบครัวสุขสันต์หรือวุ่นวาย ก็ยังคงเป็นชนิดหนังที่ผู้สร้างสร้างกันออกมาโดยตลอด กลับยากขึ้นเรื่อยที่จะทำให้ผู้ชมติดอกติดใจ นานมากแค่ไหนแล้วที่พวกเรามิได้ดูหนังแนวนี้ที่ครบทั้งยังรูปรสในส่วนประกอบ รวมทั้งการมาของ “About My Father ตัวบิดาจะห่วงใยเพื่อ” ก็นับว่าเป็นหนึ่งในความมุ่งมาดที่จะมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่คิดถึงไปได้ เพราะเหตุว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อผู้แสดงนำฝ่าย พวกเราก็แอบไว้ใจได้บ้างแล้ว
รีวิวหนัง About My Father ตัวบิดาจะสนใจเพื่อ
About My Father เกิดเรื่องราวของ เซบาสเตียน บอกบิดาผู้เป็นผู้หนีภัยชาวอิตาเลียนหัวเก่าของเขาว่า เขากำลังจะหมั้นหมายกับแฟนสาวคนอเมริกัน บิดาของเขาก็ดื้อด้านที่จะท่องเที่ยวตอนวันสุดสัปดาห์กับครอบครัวของข้างหญิงให้ได้ เมื่อสองวัฒนธรรมรวมทั้งครอบครัวที่ไม่มีอะไรเช่นกันเลยมาปะทะกัน เมื่อหมดวันสุดสัปดาห์ในคราวนี้แล้ว พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่
น่าจะกล่าวได้ว่า…พวกเราบางครั้งอาจจะมุ่งมาดกับมันเกินความจำเป็นสักหน่อย เพราะเหตุว่าเอาเข้าในความเป็นจริงแล้ว About My Father เป็นภาพยนตร์ตลกครอบครัวที่ยังแสวงหาข้อดีของตนไม่พบสักเท่าไหร่ ถึงจะมั่นใจว่าหนังประเด็นนี้มีอยู่ แต่มิได้ส่องแสงแสงสว่างออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้เปลี่ยนเป็นเพียงแต่ภาพยนตร์ตลกแอบแฝงหลักสำคัญครอบครัว แบบบ่อยๆเชยๆสูตรสำเร็จที่ไม่ค่อยมีอะไรที่แปลกใหม่มากแค่ไหน
รีวิวหนัง About My Father ตัวบิดาจะสนใจเพื่อ
หนังอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีกลิ่นความระส่ำระสายแบบเครือญาติหนัง Meet the Parents ที่เป็นตำนานหนังในสมัยปี 2000s กลับแตะต้องไปไม่ถึงส่วนประกอบนั้นได้เลย มิได้แม้กระทั้งเฉียดฉิวใกล้แม้แต่น้อย ทำเป็นแค่เพียงหนังที่ผู้ชมนั่งไปดูไปแล้วหัวเราะ “หึหึ” ออกมาตามน้ำและก็ตามเนื้อเรื่องแค่นั้น สาระสำคัญต่างๆในหนังประเด็นนี้เกือบจะจับมิได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยนิดหน่อยเดียว หนังออนไลน์
ปัญหาก้อนใหญ่ของหนังหัวข้อนี้คงเป็นบทหนังที่ค่อนข้างจะน้อยลงไปสักนิดสักหน่อย ทั้งๆที่อุตสาหะจะแตะต้องจับใจความสำคัญที่ทรงอำนาจเข้ามาผสมกัน กลับเปลี่ยนเป็นการผสมองค์ประกอบที่ค่อนข้างจะล้มเหลวไปสักนิด มีทั้งยังเรื่องชีวิตของผู้ย้ายถิ่น หรือความสิ้นเปลืองเครือญาติสปอยล์บุตรหลาน แต่ว่าสุดท้ายมันก็สัมผัสเพียงแค่แบบผิวเผิน มิได้ให้รายละเอียดแล้วก็เน้นย้ำจุดสำคัญอะไร