mank 2020 ย้อนดูฮอลลีวูดตอนทศวรรษ 1930 ผ่านสายตาของเฮอร์แมน เจ. แมงกี้วิกส์ ผู้เขียนบทติดสุราฝีปากกล้าในตอนที่เขาจะต้องรีบเขียนบท “Citizen Kane” ให้เสร็จ ในโลกที่ภาพยนตร์หนังระดับเพชรยอดมงกุฎอย่าง Citizen Kane อาจยืนบนหิ้ง และสำหรับนักเรียนภาพยนตร์ Citizen Kane ยังเป็นอีกทั้งคุณครูของการสอนทำหนังรวมถึงเป็นยาขมในวิชาวิภาควิจารณ์ภาพยนตร์อย่างช่วยไม่ได้ทั้งความเป็นหนังขาว-ดำแล้วหลังจากนั้นก็เรื่องราวที่เต็มไปด้วยดราม่าแล้วหลังจากนั้นก็บทพูดยาวชักชวนง่วงหงาวหาวนอน
แต่ถ้ามองทะลุความเบื่อหน่ายต่างๆได้ก็จะพบว่ามันเต็มไปด้วยความยอดเยี่ยม mank 2020 ในเรื่องเล่ารวมถึงเทคนิคภาพยนตร์แต่ผู้ใดเลยจะทราบดีว่าเบื้องหลังเรื่องเล่าอันแสนอ่อนโยนมันถูกกลั่นมาจากประสบการณ์จากการเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ความโกงรวมทั้งเอารัดเอาเปรียบในเกมการบ้านการเรือนที่เจ้าพ่อฮอลลีวูดลงเล่นเพื่อรักษาฐานอำนาจแล้วหลังจากนั้นก็แหล่งเงินของตัวเองไว้จนกระทั่งยอมเล่นเกมเปรอะเพื่อรับรองผลการลงคะแนนให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
mank 2020 แมงค์
ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอันขาดแคลนและก็สงครามโลกครั้งที่ 2 กับฮิตเลอร์โดยผู้ครอบครองประสบการณ์นั้นชื่อว่า เฮอร์แมน แมนเคียวิซ หรือแมงค์ (เธอรี โอลด์แมน)ผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่กำลังปั่นบทหนังเรื่องใหม่ให้กับ ออร์สัน เวลส์ (ทอม เบิร์ค) ผู้กำกับหนังคนใหม่ที่พึ่งพิงจะเขย่าวงการละครวิทยุไปหมาดๆด้วยบทหนังที่เป็นอย่างกับบทบันทึกอำนาจ การโกงและจากนั้นก็เกมการบ้านการเรือนโดยเอาอย่างดาราหนังชาร์ล ฟอสเตอร์ เคนมาจาก วิลเลียม รูดอล์ฟ เฮิร์ส (ชาร์ลส แดนซ์)
ขาใหญ่เจ้าพ่อสื่อที่เคยชักใยดีลการซื้อธุรกิจ MGM และก็ออกคำสั่งผลการลงคะแนนแคลิฟอร์เนียได้ด้วยสื่อภาพยนตร์โดยแมงค์จำต้องปั่นบทหนังสุดหินร่วม 200 หน้าให้เสร็จภายใน 60 วัน โดยจึงควรต่อสู้ทั้งอาการติดสุราและจากนั้นก็โบราณกาลความโกงของคนในวงการหนังที่ตามหลอกเขาทุกวี่ทุกวัน โดยมี ริตา อเล็กซานเดอร์ (ลิลี คอลลินส์) บุคลากรที่ถูกจ้างให้มาพิมพ์บทหนังให้เขามาร่วมชะตากรรมในการสร้างบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เหมาะสมที่สุดในโลกอย่าง Citizen Kane โดยไม่เคยรู้ว่าท้ายที่สุดจะได้สร้างไหมอันเป็นเหตุมาจากเนื้อหาที่แทบจะเผยวงการหนังอย่างหมดเปลือก !
สิ่งที่งงมากมหาศาลประการแรกเป็นผู้กำกับอย่าง เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับที่เมื่อก่อนจะเอาทางภาพและก็สเปเชียลเอฟเฟกต์มานำเนื้อหากลับ Back to basic จนกระทั่งน่าตกใจตั้งแต่การนำภาพขาวดำมาใช้พรีเซ็นท์เรื่องราวแล้วก็การไม่กซ์เสียงเป็น MONO เช่นเดียวกันกับต้องการให้มันได้ฟีลชนิดเดียวกันกับตอนหนัง Citizen Kane ออกฉายปี 1941 แต่เหนือสิ่งอื่นใดซึ่งมันให้ภาพของสมัยเก่าอันมืดมัวในยุคที่อเมริกาเจอกับปัญญาเศรษฐกิจซบเซาและผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งความหวาดกลัวระบอบคอมมิวนิสต์ได้อย่างเห็นภาพ
แต่นอกจากงานดูแลและจากนั้นก็ความเป๊ะของฟินเชอร์ผู้กำกับแล้วด้านบทภาพยนตร์ของฟินเชอร์ผู้พ่ออย่าง แจ๊ค ฟินเชอร์ แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลว่าบทหนังเรื่องนี้ที่เขียนไว้ก่อนเสียชีวิตปี 2003 ได้ถูกปรับแก้ไปสักมากน้อยเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจำเป็นต้องบอกว่ามันสามารถจับอารมณ์ร่วมของตอนรวมทั้งคงไม่เกินเลยถ้ามันจะเป็นเสมอเหมือนมรดกที่เขาทิ้งให้ลูกได้จับมาสืบต่อเป็นหนังหัวข้อนี้และเป็นการส่งผ่านเรื่องราวของยุครุ่งเรืองของสตูดิโอ The Big 5 (Warner, MGM, RKO, 20Th Century Fox, United Artist) ให้นักดูหนังแบบใหม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอีกด้วย
ว่าถึงความพิเศษของบทหนังโดยแจ๊ค ฟินเชอร์ที่สำคัญที่สุดและมอง mank 2020 โดยเทียบกับงานของฟินเชอร์ผู้ลูกเป็นการผลิตมิติด้านอารมณ์ให้ผู้แสดงหลักอย่าง แมงค์ ซึ่งแม้ก่อนหน้าที่ผ่านมาดารานำในหนังฟินเชอร์จะน่าจำทุกตัวแต่ก็มักถูกพบเห็นว่ามันขาดมิติอารมณ์ที่มองดูเป็นมนุษย์ แต่สำหรับ MANK มันเป็นข้องดเว้นที่งามเยอะแยะทีเดียวแล้วก็กล้ากล่าวได้ว่ายิ่งเราดูหนังเราจะยิ่งต้องการทราบจะรวมทั้งโอบกอดเขาสูงที่สุดในบรรดาหนังของฟินเชอร์ทั้งหมดอย่างยิ่งจริงๆ
ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดเป็นถึงแม้โครงหลักของมันจะเอ่ยถึงการเขียนบทหนัง Citizen Kane แม้กระนั้นเป็นบรรดาฉากแฟลชแบ็กต่างหากที่มันพาเราไปร่วมประสบการณ์ที่เบาๆบ่อนทำลายความมั่นใจในวงการครึกครื้นของแมงค์ได้อย่างเห็นภาพที่สุดทั้งความเน่าเหม็นเหลวเรื่องรักๆใคร่ๆระหว่างนักแสดงกับบรรดาบิ๊กของสตูดิโอสร้างหนังรวมทั้งการใช้สื่ออย่างภาพยนตร์สำหรับการบ่อนทำลายคู่แข่งขันทางการเมืองของนักการเมืองที่เอื้อผลตอบแทนให้ตนเอง
ซึ่งเนื้อหาส่วนที่มีความสำคัญที่มันถูกบอกไว้ตามทางนี่เองเลยทำให้ Mank เป็นมากกว่าหนังของนักเขียนบท Citizen Kane แม้กระนั้นยังเป็นบทบันทึกประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดย่อมๆและทำให้เห็นว่าไม่ว่าตอนไหนฮอลลีวูดก็หนีการบ้านการเรือนไม่พ้น ที่สำคัญการเลือกสถานะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทั้งประธานสตูดิโอและนักแสดงดังในยุค Hollywood Classic ยังเป็นเหตุให้เราได้รู้จักระบบแล้วก็การบ้านการเรือนในสตูดิโอได้เป็นอย่างดีที่สำคัญมันยังถูกเสนอได้อย่างกระปรี้กระเปร่าและดูสนุกสนานได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
ซึ่งนอกจากองค์ประกอบด้านบท งานควบคุมและเทคนิคแล้วจำเป็นจะต้องกล่าวว่า Mank มีการแสดงระดับที่น่าปรบมือจากดูเหมือนจะทุกคนตั้งแต่ เอ็งรี โอลด์แมนที่สามารถแสดงบทบาทแมงค์นักเขียนบทที่ต้องสู้กับปัญหาติดสุราและไฟในการเขียนบทที่เริ่มมอดได้อย่างถึงหน้าที่รวมทั้งซีนที่เขาขอความช่วยเหลือให้ประธานสตูดิโอถอดหนังที่เมกขึ้นเพื่อเล่นงานผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยมก็แสดงให้เห็นว่าชายคนหนึ่งพร้อมจะอยู่ข้างความถูกต้องหากแม้ตัวเองเกือบจะไม่มีแต้มต่อใดๆโอลด์แมนก็ให้การแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกนั้นหนังยังได้ นักแสดงสมทบอีกทั้งลิลลี คอลลินส์ในบทริตา อเล็กซานเดอร์ ข้าราชการผู้ช่วยของแมงค์แล้วก็อแมนดา ไซเฟร็ด ในบทแมเรียน เดวีส์นักแสดงสาวที่เกี่ยวข้องกับผู้กุมอำนาจในวงการภาพยนตร์ซึ่งทั้งคู่ก็ช่วยฉายเสน่ห์ให้หนังที่อุดมด้วยเด็กวัยหนุ่มมีอะไรสวยๆงามๆน่าดูบ้างแล้วก็ช่วยเพิ่มอารมณ์ด้านสุภาพมีมารยาทให้ดาราแมงค์ได้เป็นอย่างดี
แมงค์ : โต้ตำนานประพันธมือ โดย ก้อง ฤทธิ์ดี
หนึ่งในเรื่องเล่าที่เข้าขั้น “ตำนาน” อันเป็นที่ทักท้วงกันมานานหลายทศวรรษในฮอลลีวูด เอ๋ยถึงบทสรุปเกี่ยวกับผู้เขียนบทหนังเรื่อง Citizen Kane (1941) เรื่องนี้บางครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นโตอะไรถ้าเกิด Citizen Kane เป็นหนังดังธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่เพราะนี่เป็นหนังที่ขึ้นชื่อว่า “เยี่ยมยอดในโลก” หรือถ้าจะเผื่อดวงใจไว้หน่อยก็เป็น “หนังที่เยี่ยมที่สุดในโลกเรื่องหนึ่ง” ที่ถูกเอาขึ้นหิ้งเพื่อไหว้บูชา ด้วยเหตุนี้นี่เองที่เรื่องราวของการเขียนบทหนัง Citizen Kane
ก็เลยยังเป็นตำนานที่ถูกโต้เถียง โต้เถียงกลับไปกลับมาเชื่อมโยงกับความเชื่อใจรวมถึงอุดมการณ์ทางศิลปอันหลากหลายในช่วงเวลานี้ ตำนานที่ว่ากลับมาอยู่ในความพึงพอใจอีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง mank 2020 ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ ที่พึ่งพิงจะลงจอใน Netflix เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นหนังขาวดำที่เล่าของเฮอร์มาน แมนเควิซ (Herman Mankeiwicz) หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า แมงค์ คนเขียนบทคนสำคัญของฮอลลีวูดในยุคทองตอนทศวรรษ 1940
แมงค์เป็นผู้เขียนบทหนังจากนิวยอร์คที่ข้ามฝั่งไปขุดทองที่อุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูด เขายังเชิญผู้เขียนบทละครดังๆจากฝั่งทิศตะวันออกให้ผ่านไปดำเนินงานฝั่งตะวันตก โดยมีประโยคทองที่เขาส่งโทรเลขเชิญเพื่อนพ้องผู้ประพันธ์โดยกล่าวว่า “เงินเป็นล้านรอให้เรามากไม่น้อยเลยทีเดียวอบโกยนี้ คู่ต่อสู้เดียวของพวกเราเป็นคนโง่งม” อันหมายความว่า แมงค์มีความเห็นว่าฮอลลีวูดเป็นอุตสาหกรรมหนังที่เต็มไปด้วยแต่ผู้เขียนบทระดับต่ำ ไม่มีศิลป ไร้คุณภาพ
เน้นย้ำแต่การเล่าเรื่องดาดๆเพื่อตอบสนองมวลชนที่ต้องการเสพความชื่นบานและไม่ได้ต้องการอะไรลึกซึ้ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวนักเขียนมือทองระดับผู้มีปัญญาจากนิวยอร์คที่พร้อม “ขายวิญญาณ” น่าจะรีบมากมายอบโกยผลตอบแทนให้มากที่สุดหนังเรื่อง Mank มุ่งไปยังที่ในช่วงเวลาที่แมงค์ (แสดงโดยแกล้น โอลด์แมน ในบทที่เข้าชิงออสการ์แน่นอน) ขาหักจากอุบัติเหตุและต้องนอนพักในบ้านกลางทะเลทรายเพื่อเขียนบทหนังเรื่อง Citizen Kane ให้กับผู้กำกับหนุ่มน้อยสมองเพชร ออร์สัน เวลส์
หนังยังพาเราไปดูเบื้องหลังลักษณะการทำงานของสตูดิโอใหญ่ของฮอลลีวูด โดยเฉพาะ MGM รวมทั้ง Paramount ปะปนไปกับผู้แสดงจริงในประวัติศาสตร์อันเรืองรองของฮอลลีวูดในยุค 1940 จุดสำคัญอยู่ที่ความเกี่ยวพันระหว่างแมงค์ กับวิลเลียม แรนดอล์ฟ เฮิร์ส ผู้ครอบครองอาณาจักรสื่อในอเมริกาผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจรวมถึงการบ้านการเรือน ซึ่งชีวิตอันโด่งดังของเฮิร์สนี่เอง ที่แมงค์เอามาปรับปรุงแก้ไขดัดแปลง เปิดเผย แล้วก็เชือดไม่เหลือซากในบทหนังเรื่อง Citizen Kane ที่เขากำลังเขียน
รวมทั้งที่ต่อมากลายเป็นหนังคลาสสิกชั่วกับชั่วกัลป์ของโลกความสนุกและก็น่าติดตามของ Mank จะเกิดขึ้นได้ถ้าหากผู้ชมเพียงพอทราบเรื่องราวเบื้องหลังมาบ้าง โดยเฉพาะจะต้องทราบว่า Citizen Kane เป็นหนังที่อาจหาญ Holamovies แหวกหลักเกณฑ์ และตามที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และก็ถ้าหากพอเพียงมีความรู้และมีความเข้าใจเรื่องวงการหนังฮอลลีวูดในยุคสตูดิโอมาบ้าง ก็จะยิ่งปะติดปะต่อหนัง
คราวค่อนจะซับซ้อนเรื่องนี้ได้ดีมากขึ้น
แม้กระนั้นเรื่องจำเป็นใน Mank และเป็นจุดที่น่าจะถูกเอามาโต้เถียงกันต่อ คือปัญหาที่ว่าตกลงแล้ว คนใดอย่างมากมายสำคัญสำหรับการเขียนบทหนังเรื่อง Citizen Kane กันแน่? เป็นตัวแมงค์เองอย่างที่หนังเรื่อง Mank พรีเซนเทชั่นให้เราเห็น หรือเป็นแมงค์ร่วมกับออร์สัน เวลส์ ที่ขึ้นชื่อว่า “ผู้กำกับอัจฉริยะ” ที่พึ่งจะก้าวเข้ามามีบทบาทในฮอลลีวูด จริงอยู่ที่ว่าในหนังเรื่อง Citizen Kane ให้เครดิตทั้งสองคน (ชื่อแมงค์ขึ้นก่อน) และก็ทั้งสองคนก็ได้รับออสการ์สาขาการเขียนบทในปี 1942 ถึงแม้เบื้องหน้าเบื้อหลังเบื้องหลัง มีอะไรมากกว่านั้นไหม?
ย้อนกลับไปในตอนปี 1970 นักวิพากษ์วิจารณ์แล้วก็นักประวัติศาสตร์หนังฮอลลีวูด แบ่งเป็นสองค่ายความคิด ข้างหนึ่งแน่ใจว่าแมงค์เป็นผู้เขียนบท “ตัวจริง” ที่ควรจะได้รับการชื่นชม โดยเหตุนั้นตำนานที่ความห้าวหาญรอบด้านจนกระทั่งเป็นอัจฉริยะของออร์สัน เวลส์ เกิดเหตุที่กล่าวกันจนถึงเว่อร์ เป็นการสร้างวีรบุรุษของประพันธมือ (หรือผู้สร้างงาน) ที่เกินความเป็นจริง ส่วนอีกค่ายความรู้สึกนึกคิดโต้คารมข้างแรกอย่างหนักแน่นและจากนั้นก็อ้างอิงหลักฐานมากมายว่า ถึงแมงค์จะเป็นผู้เขียนโครงเรื่องแล้วหลังจากนั้นก็ร่างแรก
แต่ออร์สัน เวลส์ ต่างหากที่เขียนบทสำหรับพูดหลัก แล้วก็เป็นผู้อบรม เสริม แล้วหลังจากนั้นก็เขียนร่างต่อๆมาของบทจนถึงบริบูรณ์พร้อมถ่ายเป็นหนัง แถมยังใจอารีให้ชื่อแมงค์ ขึ้นเป็นชื่อแรกในเครดิตด้วย ด้วยเหตุนี้ความคิดของข้างแรกเป็นความอุตสาหะลด “แนวความคิดประพันธมือ” ที่กำลังเป็นความคิดหลักของงานวิภาควิจารณ์หนังในตอนดังกล่าวหนังเรื่อง Mank ของฟินเชอร์นี้ แจ่มชัดว่ายึดโยงกับความคิดข้างแรกมากกว่า
หนังจุดโฟกัสไปที่แมงค์และความสัมพันธ์ของเขากับเฮิร์ส mank 2020 ซึ่งเป็นเค้าโครงของ Citizen Kane และหนังเกือบจะไม่เอ่ยถึงออร์สัน เวลส์ เลย จวบจนถึงฉากสาระสำคัญส่วนท้าย การแย้งเรื่องผู้ใดเขียนบท Citizen Kane มีรายละเอียดล้นหลามที่น่าสนุกเท่าๆกับหนังเรื่อง Mank สิ่งที่พึงระวังเป็น ฮอลลีวูดมักมีหนังที่ตรวจตรวจสอบตำนานหรือภาพลวงของตัวเอง
รวมทั้งทำวิภาควิจารณ์ แขวะ แซะ ผู้มีอำนาจในวงการบันเทิงใจ แล้วก็สร้างให้สิ่งเหล่านี้เกิดเหตุครึกครื้นในตัวมันเองอีกต่อหนึ่ง Mank เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการทำแบบงี้ รวมทั้งโชคร้ายอยู่บางส่วนที่ว่า หนังที่พูดถึงยุครุ่งเรื่องของภาพยนตร์ฮอลลีวูด กลับจึงควรมาฉายในจอเล็กเท่านั้นโดยไม่มีออพชั่นแบบฉายในโรง ซึ่งคงทำให้พลังที่ตำนานที่หนังนำเสนอ สั่นความรู้สึกนึกคิดผู้ชมได้มากกว่านี้