ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง

ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง

ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมอีกด้วย ธีมและคำพูดที่โดดเด่น เช่น “กฎข้อแรกของ Fight Club คือ: คุณอย่าพูดถึง Fight Club” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของศัพท์ทางวัฒนธรรม การสำรวจเรื่องการกบฏของภาพยนตร์เรื่องนี้และความปรารถนาในความถูกต้องในโลกที่ถูกครอบงำโดยลัทธิบริโภคนิยมสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมจำนวนมาก

หนึ่งในแง่มุมที่น่าสนใจที่สุดของ ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง ก็คือผู้บรรยายที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งเล่นโดย Edward Norton ได้อย่างยอดเยี่ยม การต่อสู้กับอัตลักษณ์และการสลายตัวทางจิตของเขาทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมและตั้งคำถามถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์บนหน้าจอ โครงสร้างการเล่าเรื่องแบบไม่เชิงเส้นของภาพยนตร์รวมกับการเล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ เพิ่มความซับซ้อนหลายชั้นและเชิญชวนให้ผู้ชมกลับมาดูและตีความภาพยนตร์ใหม่หลายครั้ง

“Fight Club” ยังสร้างความขัดแย้งที่สำคัญเมื่อมีการเผยแพร่ เนื่องจากมีภาพความรุนแรงและธีมอนาธิปไตย นักวิจารณ์บางคนกล่าวหาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งเสริมความรุนแรงและการทำลายล้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ปกป้องยืนยันว่าสิ่งนี้ทำหน้าที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมวัตถุนิยมที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคซึ่งลดทอนความเป็นมนุษย์

การถ่ายภาพยนตร์และสไตล์ภาพของภาพยนตร์ โดดเด่นด้วยสุนทรียภาพอันเข้มขรึมและมืดมน เสริมโทนของเรื่อง สร้างประสบการณ์ที่เข้าถึงอารมณ์และดื่มด่ำสำหรับผู้ชม เพลงประกอบที่มีเพลงของ The Dust Brothers ช่วยเพิ่มพลังและความเข้มข้นของภาพยนตร์

โดยสรุป ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง

เป็นผลงานภาพยนตร์ที่ท้าทายขนบธรรมเนียมและนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับสังคมร่วมสมัย การสำรวจอัตลักษณ์ การกบฏ และวัฒนธรรมผู้บริโภคยังคงโดนใจผู้ชม ทำให้เป็นภาพยนตร์คลาสสิกเหนือกาลเวลาในโลกแห่งภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องชมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องที่กระตุ้นความคิดและการเล่าเรื่องที่แหวกแนว ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานต่อผู้ที่กล้ายอมรับโลกที่วุ่นวายและอนาธิปไตยของมัน

หนังของผู้กำกับสายละเอียดสุดเริ่ดในทุกรายละเอียดอย่าง David Fincher ที่ยังคงเน้นย้ำในเรื่องประสิทธิภาพในงานตนเองอีกเหมือนปกติ แต่ว่าเนื่องจากว่าหนังค่อนข้างจะมีหลักสำคัญเรื่องราวที่ลึก รวมทั้งจำต้องอาศัยการตีความหมายอยู่ไม่น้อย เลยทำให้กระแสของหนังที่ออกมาในระยะแรก

ก็เลยแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ โดยกรุ๊ปที่รู้เรื่องรวมทั้งสนุกสนานไปกับข้อความสำคัญของหนังก็จะรักหนังหัวข้อนี้ จนถึงต้องการจะทดลองซัดหน้าใครซักคนดูบ้างข้างหลังดูหนังจบ แม้กระนั้นกับอีกกรุ๊ปที่ชิงชังหนังหัวข้อนี้เอาซะมากมายๆเนื่องจากว่ามีความคิดว่ามันจำต้องรอมานั่งตีความหมายเครื่องหมายต่างๆในหนังที่เข้าใจยากซะอย่างยิ่ง แม้กระนั้นบังเอิญว่าพวกเราดันอยู่กรุ๊ปที่ถูกใจมันมากยิ่งกว่า รีวิวนี่เลยจะไปทางเชียร์ว่าเพราะเหตุไรมันถึงเป็นหนังที่มีคุณภาพดีในสายตาของพวกเรา

สำหรับผู้ที่ไม่เคยดูหนังประเด็นนี้มาก่อน Fight Club เอ๋ยถึงหนุ่มนิรนาม (รับบทบาทโดย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) บุคลากรสำนักงานชนชั้นกลางที่คิดว่าชีวิตตนเองแสนน่าระอา จำต้องปฏิบัติงานบ่อยๆไม่มีความท้า ทุกคนถูก ‘ทำสำเนา’ ออกมาจากต้นแบบเดียวกัน เปลี่ยนเป็น ‘มนุษย์ก๊อบปี้’ เป็นจำนวนมากที่มีความต้องการคล้ายคลึงกัน ทำอาชีพคล้ายคลึงกัน แต่งตัวรวมทั้งใช้ข้าวของที่ออกมาจากโรงงานเดียวกัน ถูกกรอบบางสิ่งบางอย่างบังคับให้พวกเราจะต้องเป็นหรือควรมีเสมือนคนอื่นและก็รู้สึกเศร้าโศกเมื่อข้าวของผุพัง ทั้งๆที่ไม่เคยทราบด้วยว่านั่นเป็นความจำเป็นกับชีวิตพวกเราจริงๆหรือไม่

จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุให้ชีวิตของเขาไม่เหลืออะไรสักอย่าง รวมทั้งได้พบกับ ไทเลอร์ เดอร์เดน (เล่นบทโดย กางรด พิตต์) เด็กหนุ่มหล่อหรูผู้ไม่ยึดติดกับวัตถุอะไรก็ตามสักอย่าง เชิญมาแลกหมัด ถอดเนกไทที่รัดคอ ได้มองเห็นเลือดใหม่ๆไหลออกมาจากปาก ได้รับการปลดปล่อย บรรเทาเพลิดเพลินใจ ในแบบที่กรุ๊ปบำบัดรักษาจำพวกไหนก็มอบให้มิได้

รวมทั้งเชิญกันริเริ่มตั้งขึ้น Fight Club ชุมนุมมวยใต้ดินที่ให้โอกาสให้คนที่ไม่รู้จักที่รู้สึกถูกข่มเหงแล้วก็มีชีวิตแสนซ้ำซากได้มาปล่อย ระบายอารมณ์กันแบบหมัดต่อหมัด กระทั่งคราวหลังขยายตัวเป็นกลุ่มอาชญากรรมที่คิดแผนทำลายระบบทุนนิยม สถาบันการเงิน และก็แบงค์ยักษ์ใหญ่ให้พังทลายเพื่อรีเซตให้ทุกคนในสังคมเสมอกันหมด ไม่มีหนี้ ไม่มีผู้ใดมั่งคั่งกว่าผู้ใดกัน

ส่วนนึงเลยถึงแม้สิ่งที่ฉาบหน้าหนังจะเป็นในเรื่องของความ ดุ เดือด ดิบ เอาความสาแก่ใจ กับการตั้ง Fight Club รวมทั้งความเก๋ของนักแสดง บทสนทนา รวมทั้งกฏที่คนยังมักเอามาใช้กล่าวถึงมาจนถึงทุกวันนี้ว่า “กฏข้อแรกของ Fight Club ก็คืออย่ากล่าวถึง Fight Club” แต่ว่าในเนื้อแท้ของหนังแล้วกลับเอ๋ยถึงระบบทุนนิยมได้อย่างเจ็บแสบ สั่นสะเทือนไปถึงทรวงในผู้ชมอยู่ไม่น้อย การต่อสู้ใน Fight Club ก็เลยไม่ได้ต่างอะไรกับการระบาย ความขุ่นข้องที่มีต่อระบบทุนนิยมที่ต่างกฏขี่พวกเขาให้ไม่มีชีวิตที่อิสระเป็นของตนเอง และก็การซัดกันเน้นย้ำๆด้วยหมัดต่อหมัดของทุกคืนก็คือขณะที่ทุกคนรอเพื่อจะระบุชะตากรรมของตนเองได้ แล้วหลบลี้จากชีวิตที่ซ้ำๆซากๆที่เกิดขึ้น

เมื่อตอนออกฉายได้เสียงตอบรับอย่างกราดเกรี้ยว

ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง

จัดเป็นเลิศในรูปภาพยนตร์ Most Controversial of All-Time ทั้งยังประเด็นการใช้กำลัง, ถูกตีตรา Facism, ต้านการบริโภค Anti-Consumerism, ต้านระบอบระบบทุนนิยม Anti-Capitalism, ถึงแบบงั้นกลับกลายที่ชอบพอของชาวคริสเตียนนิกาย Evangelicalism … โลกมันช่างพิศดารแท้

ดูหนัง Fight Club (1999) เต็มเรื่อง เมื่อตอนออกฉายได้เสียงตอบรับอย่างกราดเกรี้ยว จัดเป็นเยี่ยมในรูปภาพยนตร์ Most Controversial of All-Time อีกทั้งประเด็นการใช้กำลัง, ถูกตีตรา Facism, ต้านทานการบริโภค Anti-Consumerism, ต้านระบอบระบบทุนนิยม Anti-Capitalism, ถึงแบบนั้นกลับกลายที่พอใจของชาวคริสเตียนนิกาย Evangelicalism … โลกมันช่างพิศดารแท้

นอร์ตัน สวมบทแจ็ค ชายคนเจ็บไข้ได้ป่วยนอนไม่หลับเรื้อรัง holamovies ผู้เพียรพยายามหาทางออกให้แก่ชีวิตอันน่าระอาของตัวเองจนกระทั่งเมื่อเขาได้เจอ ไทเลอร์ เดอร์เดน (พิทท์) เซลส์แมนขายสบู่ ผู้มาพร้อมปรัชญานอกคอกที่ว่า การสั่งสมมีไว้สำหรับคนไม่แข็งแรง แม้กระนั้นคนกล้าของจริงจำต้องรู้จักทอดทิ้ง ชีวิตที่จืดจางของแจ๊คก็เลยเปลี่ยนไป… เขารวมทั้งไทเลอร์เริ่มชกกันในที่จอดรถหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งนำผู้ชายอีกมากมายหน้ามาร่วม และก็รวมกันริเริ่มตั้งขึ้นสังเวียนลับที่พวกเขาเรียกว่า “ไฟท์ คลับ”

มันเป็นหนังที่แปลก และก็แตกต่างกันดีอีกหนึ่งเรื่อง หนังของคนนอนไม่หลับ ที่กำลังหาทางบรรเทา แต่ว่าแล้วเขาก็พบกับเพื่อนฝูงใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร สำหรับการสร้าง ไฟท์ คลับ ขึ้นมา จนถึงมีคนพอใจเป็นพวกจำนวนมาก แต่ว่ามันตลกโปกฮาร้ายก็ตรงที่ ตัวเขาเองกับเพื่อนพ้องใหม่ มันแปลงเป็นคนๆเดียวกัน ตั้งแต่เมื่อไร แล้วเป้าหมายที่สร้างไว้มันน่าสะพรึงกลัวกว่าที่คุณคิดไว้

ในความขำขันร้าย มันก็สอนอะไรดีดีอยู่บ้าง ตรงที่ พวกเราควรมีวัตถุประสงค์ในชีวิต และก็ทำมัน ไม่สมควรยึดติดกับอะไรเดิมๆที่มันไม่ใช่ตัวเรา รวมทั้งพวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปเอาอย่างคนใดกันแน่ เชื่อมั่นในตัวเองยอดเยี่ยม

เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันสวมบทบาทเป็นคนสันโดษในเมืองที่ห่อเหี่ยวรวมทั้งเต็มไปด้วยความไม่ค่อยสบายใจ เขาชี้แจงโลกของเขาในบทพูดเสียดสีสังคมเสียดสี ชีวิตแล้วก็งานของเขากำลังทำให้เขาคลุ้มคลั่ง สำหรับเพื่อการจัดแจงกับความเจ็บ เขาเสาะหาการสัมมนา 12 ขั้นตอน ซึ่งเขาจะสามารถกอดคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาศกว่าตัวเขาเอง และก็เจอกับความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การสัมมนาคราวแรกที่เขาร่วมจะเป็นการพบปะสนทนากับคนที่กลายเป็นเหยื่อของโรคมะเร็งอัณฑะข้างหลังการผ่าตัด เนื่องจากว่าภาพยนตร์อีกทั้งเรื่องเกิดเรื่องเกี่ยวกับเพศชายที่กลัวการสูญเสียวัวโจนส์

ฉากแรกๆพวกนี้มีน้ำเสียงกะล่อนที่ดี พวกเขานำเสนอโดยนักแสดง Norton

ดูหนัง Fight Club (1999)

ด้วยเสียงนาธาทุ่งนาเอล เวสต์ใช้ใน Miss Lonelyhearts

เขามีชื่อเสียงในชื่อผู้พูดแค่นั้น ด้วยเหตุผลที่แจ่มชัดในตอนหลัง การสัมมนาปฏิบัติภารกิจเป็นยาระงับประสาท และก็ชีวิตของเขาก็จัดแจงได้นิดหน่อยเมื่อมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้น เขาเริ่มมองเห็นมาร์ลา (เฮเลนา บอนหมูแฮม คาร์เตอร์) ในห้องประชุม คุณเป็น “นักเดินทาง” ราวกับตัวเขาเอง เป็นผู้ที่ไม่ติดอะไรนอกเหนือจากการพบปะสนทนา คุณทำลายมันเพื่อเขา เขาทราบว่าเขาเป็นคนแกล้ง แต่ว่าต้องการจะมั่นใจว่าความเจ็บของคนอื่นๆมีจริง

ในขั้นแรกที่หนังเข้าฉาย ไม่ว่าจะด้วยการโปรโมตหนังที่ล้มเหลวของข้างการตลาดที่ไม่อาจจะก่อให้คนรู้เรื่องเมสเสจของหนังได้ทั้งสิ้น จนกระทั่งเสียงของผู้ชมแตกออกเป็นสองฝ่ายที่ถ้าหากไม่รักก็ชิงชัง Fight Club ไปเลย ซึ่งแน่ๆว่าพวกเรายืนอยู่ฝั่งผู้ที่รักหนังประเด็นนี้แบบสุดหัวใจ และไม่เคยรู้เรื่องว่าเพราะเหตุไรถึงมีคนเกลียดชังหนังประเด็นนี้ได้ลง

แม้กระนั้นเมื่อถอยตนเองออกมาสักนิดสักหน่อย พวกเราก็เลยได้มองเห็นมุมมองบางสิ่งบางอย่างว่ายังมีคนอีกเยอะแยะเป็นที่ยอมรับระบบทุนนิยมรวมทั้งเป็นสุขที่ได้หา ‘วัตถุ’ ต่างๆมาเอาใจใส่ดูแลตนเอง แล้วจะแปลกอะไรหากผู้คนเหล่านั้นจะรู้สึกเกลียดชังการที่หนังมานะพรีเซนเทชั่นอีกด้านหนึ่งที่พวกเขาไม่ต้องการรับทราบ

จะไม่ถูกอะไรถ้าหากผู้คนจำนวนมากจะเห็นว่าเมื่อระบบทุนนิยมให้โอกาสให้ชิงชัย ก็น่าจะสู้ตามกลไกของตลาดให้สมศักดิ์ศรีแล้วก็ไต่เต้าเองให้เยอะที่สุด

แต่ว่าก็ไม่ผิดอีกด้วยเหมือนกันที่อีกผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยจะเห็นว่าโลกของระบบทุนนิยมที่กล่าวว่าเป็นการแข่งเสรี โดยความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงแค่ ‘ความอิสระ’ ของผู้ที่ถูกรับเลือกให้ลงแข่งขัน ที่เหลือเป็นไปได้เพียง ‘เฟือง’ ในสายพานการสร้างที่ไม่มีทางเติบโต

ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะต่อสู้เพื่อการันตีตัวตนได้ในสนามที่หลายๆคนกล่าวว่าธรรมดา จะมีก็แต่ว่าสนาม Fight Club ใต้ดินที่สู้กันด้วยหมัด ฟันหัก เลือดสาดกระจัดกระจาย ที่ช่วยการันตีได้ว่าพวกเขามีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีหวังคงเหลือนี้จริงๆ

ท้ายที่สุดแล้วหนังก็พาพวกเราไปได้ไกลกว่าจากการต่อยตีจากเพียงแค่ใน Fight Club สู่การแสดงออกถึงการต้านระบบทุนนิยมกันแบบสุดตรอก สู่ Project Mayhem ถึงแม้ผู้ชมส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับหนังรวมทั้งสาแก่ใจไปกับการระบายความคับคั่งหัวใจไปกับระบบทุนนิยมมากมายสักขนาดไหน

แม้กระนั้นในที่สุดพวกเราเองก็ไม่สามารถที่จะไม่ยอมรับกับการเวียนว่ายอยู่ในระบบของระบบทุนนิยม ดำเนินการภาวะเดิมๆไปทุกวี่ทุกวันเพื่อหารายได้มาจับจ่ายซื้อของให้ทันยุคทันสมัย ใช้โทรศัพท์แบบใหม่ๆท่องเที่ยว เผื่อถ่ายภาพอวดใครๆว่าพวกเราดำเนินชีวิตยังไงให้ได้น่าอิจฉา ให้กับผู้ที่ในความเป็นจริงแล้วพวกเราก็มิได้พึงพอใจเขาเท่าไรนัก เสมือนอย่างที่ผู้แสดงในหนังได้กล่าวเอาไว้อยู่ดี ทำให้ฟิลลิ่งตอนมองไปก็จุกไปกับข้อเท็จจริงที่เข้ามาชนหน้าอยู่เสมอเวลา

Fight Club (1999) รับอิทธิพลเต็มๆจาก Persona (1966) สลับจากสองหญิงเป็นสองชาย ต่างเป็นบุคคลเดียวกันที่มีความไม่เหมือนตรงกันข้าม แอบแทรกภาพ Penis ในเสี้ยววินาทีเหมือนกันด้วยนะ ในทางจิตวิเคราะห์กระทำเปรียบ Id vs. SuperEgo เมื่อเกิดขึ้นการขัดกัน ครุ่นคิดตรึกตรองมองเห็นผิดแผกแตกต่าง เลยทำต่อสู้ชก ผู้ชนะจะเปลี่ยนมาเป็นการแสดงออกของ Ego … ถ้าเกิดคุณสามารถนำเอาความร้ายแรงมาพินิจพิจารณาในเชิงเครื่องหมาย ก็บางทีอาจศึกษาค้นพบความพิศวงอันเหนือล้ำของภาพยนตร์หัวข้อนี้!

About The Author